โครงการส่งเสริมเทคโนโลยีการผลิตวัสดุปลูกพืชจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร

โครงการส่งเสริมเทคโนโลยีการผลิตวัสดุปลูกพืชจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร

ผู้รับผิดชอบ ให้ข้อมูล : อ.ว่าที่ ร.ต.สราวุฒิ ดาแก้ว

SDG ที่เกี่ยวข้อง
เป้าหมายย่อย

ความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัย : พันธกิจสัมพันธ์เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นอย่างสร้างสรรค

แหล่งงบประมาณ : งบประมาณแผ่นดิน

กลุ่มเป้าหมาย : ชุมชน

พื้นที่ดำเนินงาน : วิสาหกิจชุมชนกลุ่มผลิตข้าวพันธุ์ดีนาแปลงใหญ่ บ้านหนองหิน ตำบล หัวดง อำเภอ นาดูน จังหวัด มหาสารคาม 44180

ระยะเวลาดำเนินงาน : 1 ตุลาคม 2567 – 30 กันยายน 2568

วัตถุประสงค์โครงการ :
1. เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีสูตรการผลิตวัสดุปลูกพืชจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรแก่เกษตรกรกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผลิตข้าวพันธุ์ดีนาแปลงใหญ่
2. เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้เทคโนโลยีและเทคนิคทางการตลาดการต่อยอดเชิงพาณิชย์

กิจกรรมหลัก :
กิจกรรมหลัก (Activity) วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
ก่อนการดำเนินการ (ฐานข้อมูลตั้งต้น) การลงพื้นที่ศึกษาหาข้อมูล (กิจกรรมที่ 1): ใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึกและแบบสำรวจเพื่อเก็บข้อมูลสภาพแวดล้อม ศักยภาพ และความต้องการของกลุ่มเกษตรกร รวมถึงข้อมูลรายได้เดิมและปริมาณวัสดุเหลือใช้ก่อนเริ่มโครงการ (เพื่อใช้เปรียบเทียบ)

ระหว่างการดำเนินการ (ผลผลิต Output) ระหว่างการดำเนินการ (ผลผลิต Output)
บันทึกการเข้าร่วมและแบบทดสอบความรู้: เก็บข้อมูลจำนวนผู้เข้าร่วม (30 คน) และประเมินความรู้ความเข้าใจก่อน/หลังการอบรม (กิจกรรมที่ 3 และ 4)
บันทึกการพัฒนาผลิตภัณฑ์: ติดตามและบันทึกผลการพัฒนาสูตรวัสดุปลูกและผลิตภัณฑ์ (จำนวน 1 ผลิตภัณฑ์)

หลังสิ้นสุดการดำเนินการ (ผลลัพธ์ Outcome & ผลกระทบ Impact) แบบประเมินผลงานนวัตกรรม: ประเมินความสำเร็จในการพัฒนางาน (เช่น คุณสมบัติของวัสดุปลูกอัดเม็ด) และองค์ความรู้ที่ได้รับ (ไม่น้อยกว่า 3 องค์ความรู้)
แบบสำรวจ/สัมภาษณ์ซ้ำ: เก็บข้อมูลรายได้ที่เพิ่มขึ้น (ตัวชี้วัดที่ 2) และผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ, สังคม, สิ่งแวดล้อม (มาตรา 18)

จำนวนผู้เข้าร่วมโครงการ : 30 คน

งบประมาณที่ใช้ : 130,000 บาท

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น :
รายการ ตัวชี้วัด หน่วยนับ ค่าเป้าหมาย ผลการดำเนินงาน
1.การนำผลิตภัณฑ์เข้าสู่มาตรฐาน มผช./OTOP เตรียมพร้อมนำผลิตภัณฑ์ที่ได้ เข้าสู่การขอมาตรฐาน มผช. มาตรฐาน 1 บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ
2.กลุ่มวิสาหกิจชุมชน / เกษตรมีรายได้เพิ่มขึ้น ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 มีรายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า ร้อยละ 10 บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ
3.กลุ่มวิสาหกิจชุมชน/เกษตรเกิดกระบวนการเรียนรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสามารถต่อยอดเป็นศูนย์เรียนรู้ได้ กลุ่มเกษตรในพื้นที่ใกล้เคียงที่สนใจ คน 30 บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ
4.องค์ความรู้ด้านวัสดุปลูกอัดเม็ด, ปุ๋ยอัดเม็ด, ดินปลูก ไม่น้อยกว่า 3 องค์ความรู้ จำนวนองค์ความรู้ที่วิสาหกิจชุมชน / เกษตรกรได้รับ องค์ความรู้ 3 บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ

ผลกระทบต่อชุมชน/สังคม :
- ด้านเศรษฐกิจ
เพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรและชุมชน เกษตรกรสามารถขายวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ฟางข้าว เปลือกข้าวโพด หรือซังข้าวโพด ให้กับผู้ผลิตวัสดุปลูกพืช สร้างรายได้เสริม
ลดต้นทุนการผลิตในภาคการเกษตร วัสดุปลูกพืชจากเศษเหลือใช้มีราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับวัสดุที่นำเข้าหรือผลิตจากทรัพยากรธรรมชาติที่มีราคาสูง
ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพิ่มมูลค่าให้กับของเสียหรือวัสดุเหลือใช้ ลดการสูญเสียทรัพยากรในห่วงโซ่การผลิต

- ด้านสังคม
สร้างโอกาสการจ้างงานในชุมชน การพัฒนาและผลิตวัสดุปลูกพืชจากวัสดุเหลือใช้ช่วยเพิ่มการจ้างงานในโรงงานแปรรูปหรือในขั้นตอนการเก็บรวบรวมวัสดุเหลือใช้
ลดปัญหาด้านสุขภาพ ลดมลพิษจากการเผาเศษวัสดุการเกษตร เช่น ฝุ่น PM2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนในชุมชน
ส่งเสริมความสามัคคีในชุมชน ชุมชนสามารถร่วมมือกันในการจัดการวัสดุเหลือใช้และพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่า
- ด้านสิ่งแวดล้อม
ลดปริมาณของเสียทางการเกษตร ลดปัญหาการกำจัดเศษวัสดุทางการเกษตร เช่น การเผา ทำให้สามารถใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การนำวัสดุเหลือใช้มาแปรรูปแทนการเผาช่วยลดการปล่อย CO₂ และ PM2.5
เพิ่มความยั่งยืนในระบบนิเวศเกษตร การใช้วัสดุปลูกพืชจากเศษเหลือช่วยคืนสารอินทรีย์ให้กับดินและลดการใช้สารเคมี
- ด้านการศึกษา
เพิ่มความรู้และทักษะในเทคโนโลยีการผลิต สนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้วิธีแปรรูปวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเพื่อใช้ประโยชน์สูงสุด
ส่งเสริมนวัตกรรมและการวิจัย เป็นแรงผลักดันให้นักวิจัยและสถาบันการศึกษาพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เหมาะสมกับทรัพยากรในท้องถิ่น
กระตุ้นการเรียนรู้เรื่องความยั่งยืน ช่วยให้ประชาชนและนักเรียนตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนและลดขยะ

การมีส่วนร่วมของนักศึกษา/บุคลากร :
นักศึกษาและอาจารย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะครุศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมบูรณาการ การเรียน การสอน โดยนักศึกษาช่วยเก็บข้อมูลและนำความรู้ที่ได้มา ถอดบทเรียน เพื่อเสริมทักษะการเรียน การสอน ของนักศึกษาแต่ละคณะ

ความต่อเนื่องของโครงการ :
ความต่อเนื่องของโครงการยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนยั่งยืนสู่แพลตฟอร์มออนไลน์
โครงการยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนยั่งยืนสู่แพลตฟอร์มออนไลน์ เป็นโครงการหลักที่ 1 ภายใต้โครงการยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ซึ่งสะท้อนถึงวิสัยทัศน์และพันธกิจหลักของมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามในการเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชุมชนท้องถิ่นอย่างยั่งยืน
ความต่อเนื่องของโครงการนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของมหาวิทยาลัยในการสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจที่เข้มแข็งให้กับชุมชน โดยการบูรณาการองค์ความรู้ทางวิชาการเข้ากับภูมิปัญญาท้องถิ่น ผ่านการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์มาเป็นเครื่องมือในการยกระดับศักยภาพการผลิตและการตลาดของผลิตภัณฑ์ชุมชน การที่โครงการนี้ได้รับการบรรจุเป็นโครงการหลักในแผนยุทธศาสตร์ระดับมหาวิทยาลัย แสดงให้เห็นถึงความสำคัญและการให้ความสำคัญในการดำเนินงานอย่างจริงจัง พร้อมทั้งมีการจัดสรรทรัพยากรและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาสนับสนุนอย่างเป็นระบบ
ทีมผู้รับผิดชอบโครงการประกอบด้วยคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม จำนวน 4 ท่าน ได้แก่ คุณสราวุฒิ ดาแก้ว, คุณปิยะวดี สราภิรมย์, คุณนนทพงษ์ พลพวก และคุณปิยรัตน์ นามเสนา ซึ่งการมีทีมงานที่หลากหลายสาขาวิชาจะช่วยให้โครงการมีมุมมองที่รอบด้าน ครอบคลุมทั้งมิติทางเศรษฐศาสตร์ การจัดการ เทคโนโลยีสารสนเทศ และการพัฒนาชุมชน เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของชุมชนได้อย่างแท้จริง
ความต่อเนื่องของโครงการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 นี้ จะเป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับผลิตภัณฑ์ชุมชนในการเข้าสู่ตลาดยุคดิจิทัล โดยมีเป้าหมายในการพัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด สร้างช่องทางการจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ และพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการชุมชนให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีการค้าที่กว้างขึ้น การดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องจะช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจฐานรากและคุณภาพชีวิตของประชาชนในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาประเทศและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)

ปัญหา/อุปสรรค :
1. ความซับซ้อนของการควบคุมกระบวนการ
การผลิตวัสดุปลูกอัดเม็ดหรือทรงกลมต้องอาศัยการควบคุมตัวแปรทางเทคนิคที่แม่นยำ (เช่น แรงอัด ความชื้น อุณหภูมิในการเผา/อบแห้ง) ซึ่งอาจเป็นเรื่องใหม่และซับซ้อนสำหรับเกษตรกร ทำให้เกิดความท้าทายในการรักษา ความสม่ำเสมอของคุณภาพ (Quality Control) ของผลิตภัณฑ์ในแต่ละรอบการผลิต

2. ปัญหาด้านคุณภาพของวัตถุดิบและความต่อเนื่องของผลผลิต
ความผันผวนของวัตถุดิบ โครงการใช้ วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เป็นวัตถุดิบหลัก เช่น มูลโคและฟางข้าว คุณภาพของวัตถุดิบเหล่านี้มีความผันผวนสูงตามฤดูกาล อาหารสัตว์ที่โคกิน และวิธีการจัดเก็บ (เช่น ระดับความชื้น ปริมาณสารอินทรีย์) ความไม่สม่ำเสมอของวัตถุดิบนี้จะส่งผลโดยตรงต่อคุณสมบัติทางกายภาพและเคมีของวัสดุปลูกสำเร็จรูป ทำให้ยากต่อการรักษามาตรฐานผลิตภัณฑ์

3. แรงจูงใจและความต่อเนื่องของชุมชน
การดำเนินกิจกรรมเสริมจากการเกษตรหลัก (เช่น การเลี้ยงโคหรือทำนา) จำเป็นต้องใช้เวลาและความพยายามเพิ่มเติม หากผลตอบแทนทางการเงินที่ได้ในระยะแรกไม่สูงพอหรือล่าช้า อาจทำให้สมาชิกในกลุ่ม ขาดความต่อเนื่อง ในการเข้าร่วมกิจกรรมการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังสิ้นสุดระยะเวลาของโครงการที่ได้รับเงินสนับสนุน

แนวทางการปรับปรุง :
เพื่อยกระดับผลลัพธ์ของโครงการจากระดับการถ่ายทอดเทคโนโลยีไปสู่การสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว จึงมีข้อเสนอแนะสำหรับการวางแผนในปีต่อไป ดังนี้
1. การยกระดับสู่มาตรฐานและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
จัดตั้งศูนย์กลางการผลิตและ QC ควรผลักดันให้มีการจัดซื้อเครื่องมือ/เครื่องจักรหลักที่จำเป็นต่อการผลิตเชิงพาณิชย์ เช่น เครื่องอัดเม็ด หรือ เครื่องคลึงวัสดุ และจัดตั้งเป็น ศูนย์เรียนรู้และศูนย์กลางการผลิตร่วม ภายใต้การบริหารจัดการของวิสาหกิจชุมชน โดยมีมหาวิทยาลัยเป็นพี่เลี้ยงในการจัดทำ คู่มือมาตรฐานการผลิต (Standard Operating Procedure - SOP) เพื่อควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้มีความสม่ำเสมอและรองรับการขอ มาตรฐาน มผช. หรือ OTOP อย่างเป็นทางการ
2. การขยายช่องทางการตลาดเชิงกลยุทธ์และการสร้างมูลค่าเพิ่ม:
เน้นตลาดเฉพาะ (Niche Market) ควรต่อยอดการวิจัยไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้นและมีความแตกต่าง เช่น วัสดุปลูกสูตรเฉพาะ สำหรับพืชเศรษฐกิจมูลค่าสูง (เช่น กัญชา กาแฟ ผักไฮโดรโปนิกส์) หรือการพัฒนา ปุ๋ยอัดเม็ดสำหรับการละลายธาตุอาหารช้า เพื่อเพิ่มอัตรากำไรและขยายฐานลูกค้าไปสู่ตลาด B2B (Business-to-Business) เช่น บริษัทจัดสวนและฟาร์มเพาะกล้าขนาดใหญ่
2. การสร้างความยั่งยืนของฐานความรู้และสังคม:
การสร้างตัวแทน คัดเลือกสมาชิกชุมชนที่มีศักยภาพและให้การฝึกอบรมเชิงลึกเพื่อเป็น "วิทยากรท้องถิ่น" ที่สามารถถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่ได้รับจากโครงการไปยังกลุ่มเกษตรกรอื่นๆ ได้ด้วยตนเอง เพื่อให้เกิดการขยายผลและพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว
การประเมินผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม (SROI) กำหนดให้มีกิจกรรมการประเมิน ผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน (SROI) ในปีต่อไป โดยวัดผลในเชิงปริมาณที่ชัดเจน เช่น อัตราการลดลงของการเผาเศษวัสดุทางการเกษตรในพื้นที่ และมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นของครัวเรือน ซึ่งจะช่วยสร้างความชอบธรรมและโอกาสในการขอรับทุนสนับสนุนจากหน่วยงานอื่นต่อไปในอนาคต

ข้อเสนอแนะต่อมหาวิทยาลัย :
บูรณาการแพลตฟอร์มการขาย เชื่อมโยงช่องทางจำหน่ายออนไลน์ของชุมชนเข้ากับแพลตฟอร์มการค้าของมหาวิทยาลัยราชภัฏ (เช่น RMU e - marketplace) และสร้างพันธมิตรกับบริษัทขนส่งและ โลจิสติกส์ในพื้นที่ เพื่อให้สามารถจัดส่งสินค้าที่มีน้ำหนักมากได้อย่างมีประสิทธิภาพและต้นทุนต่ำ

SDGs RMU