โครงการสืบสานและต่อยอดกระบวนท่าฟ้อนรำบวงสรวง 160 ปี จังหวัดมหาสารคาม

โครงการสืบสานและต่อยอดกระบวนท่าฟ้อนรำบวงสรวง 160 ปี จังหวัดมหาสารคาม

ผู้รับผิดชอบ ให้ข้อมูล : อ.สุนิศา โพธิแสนสุข

SDG ที่เกี่ยวข้อง
เป้าหมายย่อย

ความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัย : พันธกิจสัมพันธ์เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นอย่างสร้างสรรค

แหล่งงบประมาณ : งบประมาณแผ่นดิน

กลุ่มเป้าหมาย : นักศึกษา

พื้นที่ดำเนินงาน : มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ตำบล ตลาด อำเภอ เมืองมหาสารคาม จังหวัด มหาสารคาม 44000

ระยะเวลาดำเนินงาน : 18 กรกฎาคม 2568 – 20 กรกฎาคม 2568

วัตถุประสงค์โครงการ :
1. เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้และถ่ายทอดท่าฟ้อนรำ
2. เพื่อใช้กระบวนท่าฟ้อนรำบวงสรวงเป็นสื่อกลางในการแสดงออกถึงความเคารพและศรัทธาต่อบรรพชนในโอกาสครบรอบ 160 ปี จังหวัดมหาสารคาม
3. เพื่อสร้างสรรค์ผลงานศิลปวัฒนธรรมที่สามารถเผยแพร่และต่อยอดเป็น Soft Power ด้านการแสดงพื้นบ้านของจังหวัด

กิจกรรมหลัก :
1. กิจกรรมอบรมเชิงทฤษฎีทางด้านนาฏศิลป์ประกอบด้วย
- เพลงระบำจำปาศรี
- เพลงมหาสารคามบ้านเฮา
- เพลงสิริสารคาม
- เพลงมนต์ฮักสารคาม 160 ปี
2. กิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการทางด้านนาฏศิลป์ ประกอบด้วย - เพลงระบำจำปาศรี
- เพลงมหาสารคามบ้านเฮา
- เพลงสิริสารคาม
- เพลงมนต์ฮักสารคาม 160 ปี

จำนวนผู้เข้าร่วมโครงการ : 100 คน

งบประมาณที่ใช้ : 50,000 บาท

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น :
ด้านเศรษฐกิจ
ส่งเสริมการท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพื้นที่ (Cultural Destination)
1. โครงการช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของจังหวัดมหาสารคามให้เป็น “เมืองศิลปวัฒนธรรม”
1. ก่อให้เกิดกิจกรรมเศรษฐกิจใหม่ ๆ ที่เชื่อมโยงกับแหล่งเรียนรู้และพิธีกรรมท้องถิ่น เช่น ทัวร์วัฒนธรรม เส้นทางประเพณี ฟ้อนรำประกอบพิธี

ด้านสังคม
ส่งเสริมความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ท้องถิ่น
1. ประชาชนโดยเฉพาะเยาวชนได้เรียนรู้และมีส่วนร่วมในการสืบสานศิลปวัฒนธรรมประจำถิ่น ทำให้เกิดความรักและหวงแหนในวัฒนธรรมของตนเอง
2. ช่วยปลูกจิตสำนึกในการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมผ่านกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างคนรุ่นใหม่กับปราชญ์ท้องถิ่น

ด้านการศึกษา
เสริมทักษะและสมรรถนะสำคัญของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21
1. ฝึกทักษะการคิดสร้างสรรค์ การสื่อสาร การอนุรักษ์วัฒนธรรม และการเป็นพลเมืองที่มีจิตสำนึกต่อชุมชน
2. สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้เรียนพัฒนาอาชีพหรือธุรกิจจากวัฒนธรรมที่ตนมีรากเหง้า

ผลกระทบต่อชุมชน/สังคม :
ผลกระทบทางด้านวัฒนธรรมและสังคม
โครงการมีส่วนสำคัญในการอนุรักษ์และฟื้นฟูมรดกภูมิปัญญาทางนาฏศิลป์ของจังหวัดมหาสารคาม โดยเฉพาะกระบวนท่าฟ้อนรำบวงสรวงซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความเคารพต่อบรรพบุรุษและประวัติศาสตร์การก่อตั้งเมือง การเผยแพร่และถ่ายทอดองค์ความรู้ดังกล่าวสู่เยาวชนและประชาชนทั่วไป ช่วยเสริมสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น และทำให้สังคมตระหนักถึงคุณค่าของรากเหง้าวัฒนธรรมอีสาน

ผลกระทบทางด้านการศึกษาและการเรียนรู้
โครงการเป็นพื้นที่การเรียนรู้เชิงปฏิบัติที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาและประชาชนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ผ่านกระบวนการศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่น การฝึกซ้อม การสร้างสรรค์นาฏยศิลป์ และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับครูภูมิปัญญา นอกจากจะส่งเสริมทักษะทางวิชาชีพด้านศิลปวัฒนธรรมแล้ว ยังเป็นการพัฒนา “การเรียนรู้ตลอดชีวิต” ที่ช่วยยกระดับคุณภาพทางการศึกษาของชุมชน

ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
การจัดกิจกรรมฟ้อนรำบวงสรวงและการเผยแพร่ผลงานสู่สาธารณะ ส่งเสริมให้เกิดการเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจในพื้นที่ ทั้งในด้านการผลิตเครื่องแต่งกาย การออกแบบลวดลายผ้า และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนและผู้ประกอบการในท้องถิ่น อีกทั้งยังเป็นการใช้ “Soft Power” ทางวัฒนธรรมในการประชาสัมพันธ์จังหวัดมหาสารคามให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง

ผลกระทบทางด้านจิตใจและความภาคภูมิใจของคนในท้องถิ่น
การมีส่วนร่วมของประชาชนในกิจกรรมบวงสรวงและการฟ้อนรำ ทำให้เกิดความรู้สึกผูกพันและภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ความเป็นชาวมหาสารคาม เกิดความสามัคคีในชุมชน และเสริมสร้างคุณค่าทางจิตใจให้กับคนทุกช่วงวัยที่ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมศิลปวัฒนธรรมร่วมกัน

การมีส่วนร่วมของนักศึกษา/บุคลากร :
การมีส่วนร่วมของนักศึกษา
นักศึกษามีบทบาทสำคัญในการร่วมคิด ร่วมวางแผน และร่วมปฏิบัติกิจกรรมภายใต้โครงการ โดยเฉพาะในการศึกษาค้นคว้าข้อมูลทางวัฒนธรรม การรวบรวมองค์ความรู้ด้านกระบวนท่าฟ้อนรำจากครูภูมิปัญญาท้องถิ่น การฝึกซ้อมและถ่ายทอดการแสดง รวมถึงการเป็นผู้ร่วมสร้างสรรค์นาฏยศิลป์ชุดใหม่ที่สะท้อนเอกลักษณ์ของจังหวัดมหาสารคาม นอกจากนี้ นักศึกษายังได้มีโอกาสพัฒนาองค์ความรู้เชิงศิลปะและทักษะการทำงานร่วมกันอย่างมีระบบ ซึ่งส่งผลต่อการเสริมสร้างสมรรถนะวิชาชีพและการเป็นบัณฑิตที่มีจิตสำนึกต่อชุมชน

การมีส่วนร่วมของบุคลากร
บุคลากรของมหาวิทยาลัย ทั้งสายวิชาการและสายสนับสนุน มีส่วนร่วมในกระบวนการบริหารจัดการโครงการ ตั้งแต่การออกแบบกิจกรรม การนิเทศและให้คำปรึกษาแก่นักศึกษา ไปจนถึงการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก เช่น หน่วยงานภาครัฐ ชุมชนท้องถิ่น และครูศิลปินพื้นบ้าน เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืน บุคลากรยังมีบทบาทในการบันทึกองค์ความรู้ การจัดทำเอกสารวิชาการ และการเผยแพร่ผลงานในรูปแบบสื่อต่าง ๆ เพื่อเป็นฐานข้อมูลด้านศิลปวัฒนธรรมของจังหวัดต่อไป

การบูรณาการร่วมกัน
ความร่วมมือระหว่างนักศึกษาและบุคลากรถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการสู่ความสำเร็จ โดยการทำงานแบบมีส่วนร่วมดังกล่าวได้บูรณาการการเรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ สร้างความเข้าใจในคุณค่าทางวัฒนธรรมไทย และเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์ศิลปะการฟ้อนรำพื้นบ้านให้คงอยู่คู่ชุมชน พร้อมทั้งสามารถต่อยอดองค์ความรู้สู่นวัตกรรมทางนาฏศิลป์ในอนาคต

ความต่อเนื่องของโครงการ :
การพัฒนาองค์ความรู้สู่หลักสูตรและการเรียนการสอน
ผลจากการดำเนินโครงการในครั้งนี้สามารถต่อยอดองค์ความรู้ทางด้านนาฏศิลป์พื้นบ้าน โดยเฉพาะกระบวนท่าฟ้อนรำบวงสรวง ให้บูรณาการเข้าสู่กระบวนการเรียนการสอนในรายวิชาที่เกี่ยวข้อง ทั้งในระดับปริญญาตรีและบัณฑิตศึกษา เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ถาวรของนักศึกษา และเป็นต้นแบบในการศึกษาวิจัยเชิงสร้างสรรค์ด้านศิลปวัฒนธรรมของภูมิภาคอีสาน

การสร้างเครือข่ายความร่วมมือและการเผยแพร่อย่างต่อเนื่อง
โครงการสามารถพัฒนาเป็นกิจกรรมประจำปีของมหาวิทยาลัยและจังหวัด โดยร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนท้องถิ่น เพื่อจัดการแสดงและเผยแพร่ผลงานอย่างต่อเนื่อง อันจะนำไปสู่การสร้างเครือข่ายศิลปินพื้นบ้านและนักวิชาการด้านนาฏศิลป์ในระดับภูมิภาค ตลอดจนการพัฒนาเป็นงานเทศกาลวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดมหาสารคามในอนาคต

ปัญหา/อุปสรรค :
ด้านเวลาและตารางกิจกรรม
• ระยะเวลาเตรียมการและฝึกซ้อมมีจำกัด เนื่องจากต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับกำหนดการจัดงานเฉลิมฉลอง 160 ปี จังหวัดมหาสารคาม
• ตารางซ้อมของผู้แสดงบางส่วนไม่สามารถตรงกันได้ ทำให้ต้องปรับแผนการซ้อมหลายครั้ง
ด้านทรัพยากรบุคคล
• ผู้แสดงบางส่วนมีพื้นฐานการฟ้อนรำแตกต่างกัน ทำให้ต้องใช้เวลาในการปรับพื้นฐานและเรียนรู้ท่ารำให้มีความพร้อมเพรียง
• ขาดบุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีประกอบในบางช่วงเวลา ส่งผลต่อการฝึกซ้อมที่ต้องใช้วงดนตรีสด
ด้านงบประมาณและอุปกรณ์
• งบประมาณที่ได้รับมีข้อจำกัด ทำให้ไม่สามารถจัดหาเครื่องแต่งกายและอุปกรณ์ประกอบการแสดงได้ครบถ้วนตามต้นแบบดั้งเดิม
• บางส่วนของเครื่องแต่งกายและอุปกรณ์ประกอบมีสภาพชำรุด ต้องใช้เวลาในการซ่อมแซมหรือปรับปรุง

แนวทางการปรับปรุง :
ด้านเวลาและตารางกิจกรรม
• วางแผนกำหนดการฝึกซ้อมล่วงหน้า พร้อมแจ้งผู้แสดงและผู้เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน
• จัดรอบซ้อมย่อยตามกลุ่มย่อยของท่ารำ เพื่อให้ผู้แสดงแต่ละส่วนสามารถฝึกซ้อมได้แม้ไม่ครบทีม
• ใช้สื่อบันทึกวิดีโอท่ารำ เพื่อให้ผู้แสดงสามารถฝึกซ้อมด้วยตนเองนอกเวลารวมกลุ่ม
ด้านทรัพยากรบุคคล
• จัดอบรมทบทวนพื้นฐานการฟ้อนรำก่อนเข้าสู่การฝึกซ้อมท่ารำเต็มรูปแบบ
• ประสานงานกับสถานศึกษาหรือชมรมนาฏศิลป์ในพื้นที่เพื่อขอความร่วมมือด้านบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ เช่น ครูสอนรำ หรือครูดนตรีประกอบ
ด้านงบประมาณและอุปกรณ์
• จัดลำดับความสำคัญในการใช้งบประมาณ โดยเน้นเครื่องแต่งกายและอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการแสดง
• ขอรับการสนับสนุนจากชุมชน หน่วยงานท้องถิ่น หรือผู้สนับสนุนเอกชน ในการจัดหาเครื่องแต่งกาย อุปกรณ์ หรือวัสดุซ่อมแซม
• ใช้การผสมผสานอุปกรณ์จากปีที่ผ่านๆ มาร่วมกับของใหม่เพื่อประหยัดงบ

ข้อเสนอแนะต่อมหาวิทยาลัย :
ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดกิจกรรมศิลปวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง
มหาวิทยาลัยควรให้การสนับสนุนโครงการลักษณะนี้อย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านงบประมาณ สถานที่ และบุคลากร เพื่อเป็นเวทีให้คณาจารย์ นักศึกษา และชุมชนได้ร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และสร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมท้องถิ่น

จัดตั้งศูนย์หรือฐานข้อมูลองค์ความรู้ด้านศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น
ควรจัดตั้งศูนย์รวบรวมองค์ความรู้ทางนาฏศิลป์พื้นบ้านและภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อใช้เป็นแหล่งศึกษาวิจัย ถ่ายทอด และเผยแพร่สู่สาธารณะในรูปแบบสื่อดิจิทัล และเป็นกลไกสำคัญในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และต่อยอดศิลปวัฒนธรรมให้คงอยู่คู่กับมหาวิทยาลัยและชุมชนอย่างยั่งยืน

SDGs RMU