โครงการการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของชุมชนด้วยแนวคิด smart energy
ผู้รับผิดชอบ ให้ข้อมูล : อ.ดร.มาวิน ปูนอน
SDG ที่เกี่ยวข้อง
เป้าหมายย่อยความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัย : พัฒนาระบบบริหารจัดการบนพื้นฐานธรรมาภิบาลและจริยธรรม
แหล่งงบประมาณ : งบประมาณแผ่นดิน
กลุ่มเป้าหมาย : ชุมชน
พื้นที่ดำเนินงาน : บ้านเหล่าน้อย ตำบล เขวา อำเภอ เมืองมหาสารคาม จังหวัด มหาสารคาม 44000
ระยะเวลาดำเนินงาน : 1 เมษายน 2568 – 30 มิถุนายน 2568
วัตถุประสงค์โครงการ :
1. เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอาชีพการเกษตรเสริม นำไปสู่การลดต้นทุนการใช้พลังงานเพื่อการเกษตร
2. เพื่อสร้างความร่วมมือกับชุมชนและถ่ายทอดเทคโนโลยีเซลล์ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อการเกษตร
กิจกรรมหลัก :
1. ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการใช้พลังงานในชุมชน รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และใช้งานต่อโครงการนี้ เช่น การนำเซลล์แสงอาทิตย์มาใช้
2. ออกแบบและสร้างระบบสูบน้ำบาดาลต้นแบบพลังงานแสงอาทิตย์ตามความต้องการของชุมชนที่ได้วิเคราะห์มา พร้อมทั้งการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เหมาะสม
3. ทดลองใช้ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ต้นแบบในสถานที่จริงเพื่อดูความเหมาะสม และปรับปรุงระบบให้เข้ากับสภาพจริงของชุมชน
จำนวนผู้เข้าร่วมโครงการ : 50 คน
งบประมาณที่ใช้ : 200,000 บาท
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น :
1.ชุมชนมีความรู้และทักษะเพิ่มขึ้น
ประชาชนจำนวน 50 คน (คิดเป็นร้อยละ 100 ของกลุ่มเป้าหมาย) ได้รับความรู้เกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์ ระบบไมโครคอนโทรลเลอร์ และการใช้เทคโนโลยีพลังงานทดแทนอย่างเหมาะสม สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่จริงได้
2.เกิดต้นแบบระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใช้งานได้จริง
มีการออกแบบ ติดตั้ง และใช้ประโยชน์จากระบบสูบน้ำบาดาลพลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 1 ชุด สามารถใช้งานได้จริงในแปลงกลางของชุมชน และช่วยลดต้นทุนด้านพลังงานเพื่อการเกษตร
3.ประชาชนสามารถทดลองใช้ระบบจริงและปรับให้เหมาะสมกับพื้นที่
ชาวบ้านได้ร่วมทดสอบระบบ ตรวจสอบประสิทธิภาพ และมีส่วนร่วมในการปรับค่าต่าง ๆ ให้เหมาะกับสภาพพื้นที่ของชุมชน
4.เกิดแนวทางการขยายผลสู่ชุมชนอื่น
มีการจัดทำแนวทางการนำระบบไปใช้ต่อยอดในชุมชนใกล้เคียง เพื่อสนับสนุนการพัฒนาพลังงานทดแทนอย่างยั่งยืน
5.จัดทำคู่มือการใช้งานและบำรุงรักษา
ผลิตคู่มือจำนวน 50 เล่ม ให้ประชาชนใช้เป็นเอกสารอ้างอิงในการดูแลระบบ ลดความเสี่ยงจากการใช้งานผิดวิธี และเพิ่มความมั่นคงของระบบในระยะยาว
ผลกระทบต่อชุมชน/สังคม :
1.ชุมชนเข้าถึงเทคโนโลยีพลังงานทดแทนมากขึ้น
ชาวบ้านมีโอกาสเรียนรู้และใช้งานระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์จริง ทำให้เกิดความเข้าใจด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัย และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่เกษตรกรรมได้
2.ลดค่าใช้จ่ายและลดความเหลื่อมล้ำด้านพลังงาน
การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ช่วยลดภาระค่าไฟสำหรับสูบน้ำ ทำให้ชุมชนมีต้นทุนการผลิตต่ำลง ส่งผลต่อความมั่นคงด้านอาหารและรายได้ของครัวเรือน
3.สร้างชุมชนต้นแบบด้าน Smart Energy
ชุมชนบ้านเหล่าน้อยกลายเป็นตัวอย่างในการใช้พลังงานสะอาด สามารถแบ่งปันประสบการณ์แก่ชุมชนใกล้เคียง และนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนในระดับตำบล
4.เสริมความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและชุมชน
การลงพื้นที่ร่วมกันทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดี เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้จากสถาบันการศึกษาไปยังชุมชน และสร้างเครือข่ายความร่วมมือในอนาคต
5.ยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อม
ชุมชนมีมุมมองใหม่เกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว
การมีส่วนร่วมของนักศึกษา/บุคลากร :
1. บุคลากรมหาวิทยาลัย
ทำหน้าที่วางแผน ออกแบบกิจกรรม และเป็นวิทยากรในการถ่ายทอดองค์ความรู้
สนับสนุนการดำเนินงานภาคสนาม เช่น สำรวจพื้นที่ ประเมินความเหมาะสม และติดตามผลหลังดำเนินโครงการ
ประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่นและชุมชนเพื่อให้โครงการดำเนินไปอย่างราบรื่น
2.นักศึกษา
เข้าร่วมเป็นผู้ช่วยวิทยากรและผู้ช่วยดำเนินกิจกรรมเชิงปฏิบัติ เช่น การทดลอง การติดตั้ง การเก็บข้อมูล และการสาธิต
ได้ฝึกทักษะการทำงานจริง การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และเรียนรู้การทำงานร่วมกับชุมชน
มีส่วนร่วมจัดทำรายงาน สรุปผล และพัฒนาสื่อความรู้ที่ใช้เผยแพร่แก่ชุมชน
ความต่อเนื่องของโครงการ :
โครงการสามารถดำเนินงานต่อเนื่องได้จากการที่ชุมชนและผู้เข้าร่วมมีความรู้พื้นฐานเพียงพอในการนำไปใช้และดูแลรักษา อีกทั้งยังมีความสนใจนำองค์ความรู้ไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่ของตนเอง มหาวิทยาลัยสามารถติดตามผล พัฒนา และขยายผลสู่ชุมชนหรือหน่วยงานอื่นได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งยังสามารถบูรณาการเป็นกิจกรรมบริการวิชาการและการเรียนการสอนในปีถัดไป เพื่อสร้างประโยชน์อย่างยั่งยืนต่อสังคมและชุมชน.
ปัญหา/อุปสรรค :
1.งบประมาณจำกัด ทำให้ไม่สามารถติดตั้งระบบที่มีประสิทธิภาพสูงหรือขยายพื้นที่ติดตั้งได้ตามศักยภาพของชุมชน
2.ชาวบ้านบางส่วนยังขาดความเข้าใจด้านเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์และไมโครคอนโทรลเลอร์ ทำให้ต้องใช้เวลาปรับตัว
3.สภาพพื้นที่บางจุดไม่เหมาะสมต่อการติดตั้งระบบ (มีร่มเงา/แสงไม่สม่ำเสมอ) ส่งผลต่อประสิทธิภาพของระบบ
4.ระยะเวลาดำเนินโครงการค่อนข้างจำกัด ทำให้การติดตามผลในฤดูกาลต่าง ๆ ทำได้ไม่เต็มที่
แนวทางการปรับปรุง :
1.เพิ่มรอบการอบรมเชิงปฏิบัติการและจัดทำสื่อการสอนที่เข้าใจง่าย เพื่อให้ชุมชนสามารถดูแลระบบได้ด้วยตนเอง
2.ประเมินสภาพพื้นที่อย่างละเอียดก่อนติดตั้ง และออกแบบระบบให้เหมาะสมกับบริบทแต่ละแปลง
3.ขยายระยะเวลาการติดตามผล 6–12 เดือน เพื่อประเมินทั้งด้านพลังงาน ประสิทธิภาพการใช้งาน และผลผลิตทางการเกษตร
4.สร้าง “แกนนำชุมชนด้านพลังงานทดแทน” ช่วยดูแลระบบและเป็นผู้ประสานงานระหว่างชุมชนกับมหาวิทยาลัย
ข้อเสนอแนะต่อมหาวิทยาลัย :
1.ควรสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาระบบต้นแบบให้มีคุณภาพสูงขึ้น และรองรับการขยายผลไปยังชุมชนอื่น
2.ส่งเสริมให้โครงการลักษณะนี้ถูกรวมอยู่ในแผนวิจัยหรือการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างองค์ความรู้และพัฒนาทักษะนักศึกษา
3.ควรสร้างความร่วมมือระหว่างคณะ/สำนัก/ศูนย์วิชาการ ให้มีทีมผู้เชี่ยวชาญร่วมกันดูแลโครงการระยะยาว
4.พัฒนาระบบฐานข้อมูลโครงการพลังงานทดแทนของมหาวิทยาลัย เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์และวางแผนเชิงกลยุทธ์ในอนาคต